จุดเด่นของยาริสรุ่นล่าสุด

       ยาริสรุ่นล่าสุดนี้มีจุดเด่นที่เหนือกว่าในบรรดารถ Eco car ด้วยกันอยู่หลายจุด หรือแม้แต่เมื่อเทียบกับรถในขนาดเครื่องยนต์ 1.5 บางยี่ห้อ ยาริสของโตโยต้าขนาดเครื่อง 1.2 ก็ยังมีความได้เปรียบอยู่เหมือนกัน เรามาดูกันครับว่า จุดเด่นของยาริสรุ่นล่าสุดนี้ มีจุดเด่นอะไรบ้าง

       จุดเด่นของยาริสรุ่นล่าสุดนี้ เมื่อเทียบกับรถ Eco car ในขนาดเดียวกันจะเห็นได้ว่า
 1. ของ ซูซูกิ สวิพ (Swiftคือ เบาะหลังจะนั่งไม่สบาย หลายคนบอกว่ารู้สึกอึดอัด ห้องเก็บของด้านหลังเล็กที่สุด ช่วงล่างแข็ง กระแทกแรง และหากเปลี่ยนแบบกระทันหัน โอกาสที่จะเสียการควบคุมการทรงตัวจะง่ายมาก รถอาจสะบัดได้
 2. อัลดมรา(Almara) แม้ว่ารถจะมีขนาดใหญ่ก็จริง แต่ว่าอืดมาก อันนี้ผมถามจากผู้ใช้หลายคน ก็พูดแบบนั้น แถมเครื่องยนต์ก็ล้าสมัย 3 สูบ 12 วาล์ว
 3. เลือก มาร์ช (March) ก็เก่สเกินไป เครื่องยนต์ก็เป็นตัวเดียวกันกับ อัลเมร่า(Almara) 3 สูบ 12 วาล์ว
 4. ถ้าเลือกของมิตซูบิชิ มิราช(Mirage) และ แอตทราด (Attrage) ก็ล้าสมัยเหมือนกัน ทั้งในเรื่องของยนต์ 3 สูบ ถึงว่าอัตราการเร่งจะดี เพราะเนื่องจากว่ารถมีน้ำหนักเบามาก แต่ทว่าโครงสร้างรถก็ไม่แข็งแรง และการบุเพื่อเก็บเสียงก็น้อย ทำให้ห้องโดยสารมีเสียงดังน่ารำคาญ  และการยึดเกาะถนนก็ยังไม่ดี เบาะนั่งก็แข็ง และนูนขึ้นมา ทำให้นั่งไม่กระชับตัว จะทำให้เมื่อยล้าได้ง่าย(อันนี้ผมก็ถามจากผู้ใช้จริงมาแล้วเหมือนกัน) 
 5. สุดทัาย ฮอนด้า บรีโอ(Brio) และ  อเมช (Amaze) คุณภาพการผลิตค่อนข้างต่ำ และยังได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อน้อยมาก ( ถ้าไม่เชื่อก็ดูเอาตามท้องถนนก็ได้ครับ ว่าวิ่งกันเกลือ่นถนนมั้ย) 
       คราวนี้มาดูจุดเด่นของยาริสรุ่นล่าสุดนี้กันบ้างครับ ว่ามีเหนือว่าในเรื่องอะไรบ้าง
      ยาริสรุ่นใหม่นี้ มีมาตรฐานการผลิตและด้านความปลอดภัยที่ดีกว่า เครื่องยนต์ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ล้าสมัย ให้สมรรถนะที่เพียงพอ และประหยัดน้ำมันเหมือนกัน สมรรถนะในด้านอื่นๆก็ดีกว่าในทุกยี่ห้อที่กล่าวมาคือ
 - ความเงียบในห้องโดยสาร เพราะกระจกบังลมหน้าของยาริส เป็นแบบ อะคูสติกกลาส ที่ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระจกชนิดนี้ตามจริงแล้วจะมีอยู่แต่ในรถที่มีขนาดใหญ่เท่านั้น
 - ความนุ่มนวลของช่วงล่าง
 - การทรงตัวที่ดีกว่า เพราะเนื่องจากว่ารถมีขนาดที่ยาวกว่า จึงทำให้ขณะเปลี่ยนเลนแบบเร็วๆ การที่รถจะสะบัดหรือจะเสียหลัก จะมีน้อยกว่าพวกรถที่มีขนาดสั้นๆ
 - การบังคับควบคุมให้ความมั่นคงมากกว่า เพราะเนื่องจากพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า เมื่อขับชัา พวงมาลัยจะเบา แต่เมื่อขับเร็ว พวงมาลัยจะหน่วงขึ้นตามความเร็วของรถ เพื่อไม่ให้รถเสียหลักได้ง่าย
 - และที่สำคัญคือ เบรกได้มั้นใจกว่า ถ้าลองมาทดลองขับยาริสเสร็จแล้ว ลองไปทดลองขับของยี่ห้ออื่นดูซักยี่ห้อหนึ่งคุณจะเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนเลยครับ ไม่เชื่อลองดูได้เลย
 - มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่าในประเภทรถ 5 ประตู ของEcocar พื้นที่ในห้องโดยสารกว้างกว่า พื้นที่เก็บของด้านหลังก็กว้างและยาวกว่า 
- ส่วนเครื่องยนต์ก็อัดแน่นด้วยเทคโนโลยี Dual-vvti และเกียร์เป็นแบบแปรผันต่อเนื่อง super Cvt-i 

       สรุปแล้ว จุดเด่นของยาริสรุ่นล่าสุดนี้มีทั้งสมรรถนะที่เหนือกว่า  แม้เครื่องยนต์จะมีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนแต่ก็อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีจึงทำให้มีกำลังเพียงพอ และที่โดดเด่นมากๆเลยคือ ความนุ่มนวลในการขับขี่ การทรงตัวที่ยอดเยี่ยม การบังคับควบคุมที่ง่าย ห้องโดยสารเงียบเป็นพิเศษ และประสิทธิภาพในการเบรกที่ยอดเยี่ยมกว่ายี่ห้ออื่น
ฝากไว้อีกอย่างนึงครับ ซื้อรถอย่าดูที่ความสวย หรืออย่าดูเพียงแค่ว่าเค้ามีออปชั่นมาให้ครบ แต่ให้ดูที่เรื่องความปลอดภัยเป็นหลักครับ เพราะออปชั่นนั้น เราสามารถมาแต่งเติมได้ แต่ว่าความปลอดภัยที่มีมากับรถ เราไม่สามารถมาแต่งเติมได้ครับ


---------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก โตโยต้า




การเติมน้ำมันให้ประหยัดน้ำมัน

       การเติมน้ำมันให้ประหยัดน้ำมันแบบสุดๆ นี้ จริงๆแล้วมันก็เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่หลายๆคนมองข้ามตรงนี้ไป ถึงแม้ว่าช่วงที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่นั้น น้ำมันแก๊สโซฮอล91 จะเหลือแค่ลิตร 28.30 บาทก็ตาม แต่ราคามันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง 
       ผมเชื่อว่าคนที่มีรถยนต์ขับ ย่อมต้องมีเงินเติมน้ำมันอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะช่วยกันประหยัดน้ำมัน เพราะตัวเองก็มีเงินเติมน้ำมันอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดให้ดีๆนะครับ ประเทศชาติรณณงค์ให้ประหยัดน้ำมัน คือเค้าต้องการให้เราใช้น้ำมันให้น้อยๆเท่าที่จะทำได้ ช่วยกันทุกคน อัตราการเติมน้ำมัน และการสิ้นเปลืองน้ำมัน เมื่อรวมกันหลายๆคนแล้ว เราก็จะช่วยให้ชาติประหยัดพลังงานได้ครับ ถึงแม้เราจะรู้ตัวเองดีว่าเรามีเงินเติมน้ำมันอยู่แล้วก็ตาม เอาหละครับ คราวนี้เรามาดูกันครับว่าการเติมน้ำมันให้ประหยัดน้ำมัน ต้องเติมยังไง
1. เติมน้ำมันตอนเช้าตรู่ครับ อุณภูมิที่พื้นดินมีความชื้นสูง
และเมื่อพื้นดินยิ่งเย็น น้ำมันก็ยิ่งควบแน่น แต่เมื่ออุณภูมิ
เพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะยิ่งขยายตัวตามไปด้วย ทำให้ได้น้ำมันมาก
แนะนำให้เติมน้ำมันหลัง 4 ทุ่ม หรือไม่ก็ก่อน 8 โมงก็ได้ครับ
จะทำให้ได้น้ำมันมากขึ้นถึง 3%
2. ไม่เติมน้ำมันเต็มถัง  เพราะจะทำให้รถต้องบรรทุกน้ำมัน
หนักมากเกินไปเปลืองน้ำมันเปล่าๆ เติมบ่อยหน่อย ดีกว่า
เติมมากแต่เสียประโยชน์ครับ
3. ไม่เติมตอนรถถ่ายน้ำมัน เพราะสิ่งแปลกปลอมที่ตกตะกอน
อยู่ก้นถังจะถูกปั่นจนลอยตัวขึ้นมา หากเติมน้ำมันช่วงนี้
สิ่งแปลกปลอมจะเข้าสู่รถของคุณได้ครับ
4. ต้องเติมตามอ๊อกเทนที่กำหนดนะครับ ควรเติมน้ำมันตาม
ค่าอ๊อกเทนที่กำหนดไว้ในคู่มือจะช่วยให้ประหยัดได้เหมือนกันครับ

       การเติมน้ำมันให้ประหยัดน้ำมันนั้น มันก็เป็นแค่เพียงส่วนเล็กๆอีกส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ ส่วนที่เหลืออีกเกินครึ่งนั้นขึ้นอยู่กับการขับขี่ของเราด้วยนะครับ การออกตัวก็ค่อยๆเหยียบคันเร่ง(ถ้าไม่จำเป็นต้องออกตัวเร็ว) เพราะการออกตัวแรงๆนี่แหละจะกินน้ำมันมากกว่าการขับขี่แบบปกติ รู้แบบนี้แล้วคนที่ต้องการประหยัดน้ำมัน ก็ลองทำตามดูนะครับ

----------------------------------------------------------------

ขอบคุณข้อมูลจากโตโยต้า

ทำไมรถติดแก๊สถึงไฟไหม้

       ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของรถที่ติดตั้งแก๊ส ไม่ว่าจะเปนแก๊ส LPG หรือ แก๊ส NGV ถึงจะรู้ก็อาจจะรู้น้อยกว่าช่างที่ติดตั้ง ช่างที่ติดตั้งแก๊สรถยนต์เหล่านี้เค้าจะรู้วิธีการทำงานอย่างละเอียด ซึ่งวันนี้ ผมจะนำเอาสาเหตุที่ว่า ทำไมรถติดแก๊สถึงไฟไหม้ มาให้ทุกคนได้ศึกษากันดูครับ

       ทำไมรถติดแก๊สถึงไฟไหม้ นั่นเป็นเพราะ
       การติดตั้งแก๊สจะมีการตัดปั้มน้ำมันออก เวลาที่เครื่องยนต์ทำงานด้วยแก๊สหัวฉีดที่ติดกับเครื่องยนต์จะไม่มีน้ำมันมาเลี้ยง ซึ่งทำให้หัวฉีดนั้นจะร้อนมาก เมื่อใช้แก้สไปนานๆ ยิ่งถ้ารถบางคันไม่ได้ใช้น้ำมันเลย หรือใช้แค่ตอนที่สตาร์ทเครื่องเท่านั้น จะทำให้ลูกยางที่ปลายหัวฉีดเสื่อมเร็ว (แข็งหรือแตกร้าว)  เมื่อถึงวันหนึ่งในระหว่างที่กำลังเดินทางด้วยแก๊สอยู่แล้วแก๊สหมดขึ้นมา ก็ต้องใช้น้ำมัน คราวนี้ !! ลูกยางหัวฉีดที่เสื่อมสภาพ จะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วออกมา และหากบังเอิญมีประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานอยู่ เช่น ไดชาร์จ จานจ่าย สายหัวเทียนที่ไฟรั่ว คอล์ย หรือความร้อนจากท่อไอเสีย แคตตาไลท์ติกที่มีความร้อนมาก จะทำให้น้ำมันที่รั่วออกมา ระเหยกลายเป็นไอ และมีโอกาสติดไฟได้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้
       สาเหตุที่ช่างติดแก๊สต้องตัดปั้มน้ำมันออกเป็นเพราะ
 1. ในการติดตั้งแก๊สรถยนต์บางรุ่น การตัดปั้มจะง่ายกว่าตัดหัวฉีด
 2. ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์รุ่นเก่าๆ ที่หัวฉีดจะปิดน้ำมันไม่ค่อยสนิท แล้วน้ำมันรั่วผ่านช่องว่างเข็มหัวฉีดเข้าไปเผาไหม้ผสมกับแก๊ส ทำให้เจ้าของรถยนต์บ่นว่าใช้แก๊ส แล้วทำไมน้ำมันถึงหายไปด้วย นั่นแหละครับ ช่างถึงต้องตัดปั้มน้ำมันออก
 3. บางครั้งช่างไม่สามารถจูนแก๊สได้ จึงมีน้ำมันเข้ามาผสม
       เพราะฉะนั้นรถยนต์ที่ใช้แก้ส ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ และควรเข้าเช็คสภาพกับศูนย์บริการตามยี่ห้อรถของคุณ ตามระยะที่กำหนด

พอทราบถึงสาเหตุที่ว่า ทำไมรถติดแก๊สถึงไฟไหม้กันแล้วใช่มั้ยครับ

       แล้วจะมีข้อแนะนำอย่างไร มาดูกันครับ 
 1.ถ้าหากต้องการใช้ก็ให้เลิกใช้น้ำมันไปเลย หรือไม่ก็..
 2. ถ้ายังอยากใช้น้ำมันด้วย ในขณะที่สตาร์ทรถก่อนออกจากบ้าน หลังจากที่สตาร์ทด้วยน้ำมันเสร็จแล้ว ให้มาเปิดฝากระโปรงรถ ตรวจสอบจุดรั่ว ทุกๆวัน
 3. ถ้าหากคิดว่าจะเข้าบ้านแล้ว ขากลับบัานให้ใช้น้ำมันอย่างเดียว ขณะดับเครื่องก็ดับเครื่องด้วยน้ำมันเช่นกัน

       หากตอนที่สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยนำ้มันแล้ว ให้ออกมานอกรถ ถ้าได้กลิ่นน้ำมัน ให้เปิดฝากระโปรงเพื่อตรวจดูจุดที่น้ำมันรั่ว ควรหมั่นเปิดฝากระโปรงตรวจดูการรั่วทุกๆวัน ควรอุ่นเครื่องด้วยน้ำมันก่อน แล้วจึงออกเดินทาง
เคยสังเกตไหมคับว่า รถแท็กซี่ที่ติดแก๊ส ไม่ค่อยจะมีข่าวไฟไหม้มาให้เห็นกันบ่อยๆ นั่นเป็นเพราะว่า เค้าเลิกใช้น้ำมันนั่นเองคับ นอกจากว่ารถจะชนกันแรงจิงๆถึงจะมีไฟไหม้ออกมาให้เห็น. ไฟไหม้รถแก๊สมักมีสาเหตุมาจากตอนที่ใช้น้ำมันนั่นเองครับ หายสงสัยกันหรือยังครับว่า ทำไมรถติดแก๊สถึงไฟไหม้


---------------------------------------------------------
   
     

น้ำยาหล่อเย็น

    ขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน น้ำยาหล่อเย็นย่อมเกิดความร้อน น้ำยาหล่อเย็นที่ไหลเวียนอยู่ในเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ระบายความร้อน และป้องกันชิ้นส่วนที่เป็นโลหะของระบบหล่อเย็นอย่างหม้อน้ำไม่ให้เป็นสนิม ซึ่งน้ำยาหล่อเย็นนี้มีทั้งของแท้ที่มาจากศูนย์บริการ และของทั่วๆไปตามห้างร้านต่างๆ ก็จะมีทั้งของแท้และของเทียมปะปนกันไป แน่นอนว่าทั้งของแท้และของเทียมย่อมมีประสิทธิการทำงานที่ต่างกันอย่างแน่นอน บทความนี้จะพาทุกท่านมาศึกษาเกี่ยวกับน้ำยาหล่อเย็นเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติกับรถยนต์ได้ถูกวิธีครับ

น้ำยาหล่อเย็นอยู่ในปริมาณที่เต็ม
   คุณสมบัติของน้ำยาหล่อเย็นคือ ป้องกันการเเข็งตัวยังช่วยป้องกันไม่ใหห้น้ำในระบบหล่อเย็นกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อถึงหน้าหนาว และเมื่อผ่านการใช้งานไปซักระยะน้ำยาหล่อเย็นจะเสื่อมสภาพปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่เกิดขึ้น ปริมาณสารยับยั้งการเกิดสนิมที่ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพป้องกันการกัดกร่่อนและเกิดสนิมด้อยลง เพราะหม้อน้ำของรถยนต์โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ นิยมทำจากอลูมีเนียม ซึ่งสามารถเกิดตะกรันและเกิดการกัดกร่อนได้ง่าย สังเกตได้จากการลองถอดท่อยางที่ต่อจากหม้อพักน้ำดูก็ได้ครับ จะพบว่ามีคราบและร่องรอยของการเกิดตะกรัน ในบางคันอาจถูกกัดกร่อนจนผุแหว่ง ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันของหม้อน้ำและทางเดินน้ำ อันจะนำไปสู่ปัญหาของการระบายความร้อน ทำให้เกิดการ โอเวอร์ฮีท ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นตามระยะเวลาที่เหมาะสม

อายุในการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นจะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 2 ปี


หน้าที่หลักๆของน้ำยาหล่อเย็นคือ
   1.ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ (เมืองนอกที่อากาศติดลบทั้งหลาย)
   2.เพิ่มจุดเดือนน้ำ คือชลอการละเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเวลาเครื่องยนต์ร้อนจัด (ข้อนี้สำหรับเมืองร้อนด้วย)
เพราะเวลาน้ำเดือดน้ำจะระเหยกลายเป็นไอ ลองต้มน้ำในหม้อดูสิครับ น้ำเปล่าเริ่มระเหยเป็นไอที่ 100C ํ
ถ้าผสมน้ำยาก็จะระเหยที่ 105 / 110  / 115 องศาเซลเซียส ....ตามสัดส่วนการผสม...
   3.ป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน พอมีสนิมก็ผุ กร่อน.มีตะกอน.(ลดความเสี่ยงในการอุดตันในหลอดน้ำที่รังผึ้งหม้อน้ำ)
   4.หล่อลื่นปั๊มน้ำและซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ (อันนี้เกี่ยวเนี่องจากข้อ3 เพราะไม่มีตะกรัน ตะกอน)

น้ำยาหล่อเย็น AUTOKOOL เป็นน้ำยาหล่อเย็นแบบผสมสำเร็จรูป ซึ่งมีอัตราความเข้มข้นในอัตราส่วน 50:50 จึงมีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนสูง
เหมาะกับสภาพอากาศและสภาพการจราจรในเมืองไทย ที่เครื่องยนต์มีการทำงานอยู่ในอุณหภูมิที่สูงอยู่ตลอดเวลา และต้องการการระบายความร้อนเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ


ถ้าหากรถของท่านมีมีน้ำยาหล่อเย็นเป็นลักษณะนี้ต้องรีบทำการเปลี่ยนด่วนเลยครับ ถือว่าอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก แต่ถ้ายังอยู่ในระหว่างขีด FULL กับขีด LOW ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะครับ


ของแท้จะมีลักษณะเป็นสีชมพู
   น้ำยาที่เป็นของแท้จะมีสีชมพู แต่ถ้าหากว่าใช้ไปนานๆแล้ว สีของน้ำยาหล่อเย็นจะค่อยๆคล้ำเป็นสีชมพูปนดำ


   การเติมหรือการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยมีปริมาณน้ำที่ผสมเกินสัดส่วน หรือใช้น้ำธรรมดาแทนน้ำกลั่นจะมีผลต่อประสิทธิภาพการระบายความร้อน ทำให้เครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควรร ผลที่ตามมาคือ เครื่องยนต์เป็นสนิม และน้ำเกิดการแข็งตัว  น้ำยาหล่อเย็นที่ไม่ได้มาตรฐานนอกจากจะมีประสิทธิภาพระบายความร้อนและปกป้องเครื่องได้ไม่ดีเท่ากับน้ำยาหล่อเย็นของแท้แล้ว ผู้ใช้ยังต้องคอยเติมหรือเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นอยู่บ่อยๆ เพราะการที่ใช้น้ำยาหล่อเย็นของที่แท้ที่ได้มาจากศูนย์บริการนั้น ทำให้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นอยู่บ่อยๆ และประหยัดค่าดูแลรักษาในระยะยาวไปได้เยอะเลยครับ

เช็คที่ปัดน้ำฝน

วิธีการตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน
  
   รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีที่ปัดน้ำฝนเพื่อที่เวลาฝนตก เราก็จะมีที่ปัดน้ำฝนคอยปัดกระจกหน้ารถให้เราสามารถมองเห็นเส้นทางขณะขับขี่ได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าขอบยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ การปัดน้ำฝนย่อมทำให้ปัดน้ำฝนได้ไม่เต็มที่ คือ ปัดแล้วน้ำออกไม่หมดในแต่ละครั้ง ปัดแล้วยังมีทางน้ำติดอยู่ที่กระจกเป็นเหตุให้มองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน อาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุได้ ดังนั้นเราจะมีวิธีเช็คที่ปัดน้ำฝนของเราอย่างไรว่าที่ปัดน้ำฝนของรถยนต์ของเราเสื่อมหรือยัง

 ใบปัดน้ำฝนประกอบด้วยก้านปัดที่เป็นโลหะมีขอบยางติดอยู่ หน้าที่คือ ใช้ปัดน้ำ ปัดฝุ่น หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนกระจกหน้าเพื่อวิสัยทัศที่ดีในการขับรถขณะฝนตก

               วิธีเช็คที่ปัดน้ำฝน
1.เวลาที่ที่ปัดน้ำฝนกำลังทำงาน จะทิ้งรอยครูดบนกระจก
2.ปัดน้ำฝนแล้วน้ำฝนออกไม่หมด ยังทิ้งคราบน้ำเกาะบนกระจกอยู่

  อายุการใช้งานของขอบยางปัดน้ำฝนจะมีอายุประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีนะครับ

และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผ่านการใช้งาน แต่ยางปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เนื่องจากการโดนแสงแดด และก้านใบปัดยังจะเป็นสนิม และโค้งงอผิดรูป ดังนั้นจึงควรเปลียนใบปัดน้ำฝนเป็นระยะเพื่อการใช้งานที่เหมาะสม

มีข้อดีที่สำคัญในการเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนคือ
1.ความปลอดภัยขณะขับรถ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝนตก ถึงตกหนัก ถ้าหากเราเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนที่มีคุณภาพ ย่อมเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถ
2.ลดเสียงดังรบกวนจากการเสียดสีเมื่อเปิดใบปัดทำงาน นำมาซึ่งความสบายใจเมื่อขับรถขณะฝนตก



ข้อแนะนำที่อยากฝากไว้คือ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการตามยี่ห้อรถที่คุณขับ เพื่อจะได้ใบปัดน้ำฝนของแท้ที่ได้มาตรฐาน และเหมาะกับรุ่นรถของคุณเพราะการใช้ของเทียมอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างเช่น

1.มองเห็นทางไม่ชัด
2.มีเสียงดังขณะปัดน้ำฝน
3.กระจกเป็นรอย
สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความผิดหวัง ทำให้ต้องเสียเงินซื้อใหม่


สิ่งที่ไม่สมควรทำกับที่ปัดน้ำฝน
  อากาศที่ร้อนๆแบบนี้ เป็นสาเหตุใหญ่ๆ ของการเสื่อมสภาพยางปัดน้ำฝน ความร้อนที่สะสมบนบานกระจกหน้า ทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนที่ต้องสัมผัสโดยตรงย่อมมีอาการเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้คนคิดว่าดการยกใบปัดน้ำฝนขึ้นซะ จะทำให้ยางปัดน้ำฝนไม่ต้องไปกระทบกับความร้อนบนกระจกหน้า!!
เป็นวิธีที่ไม่สมควรทำ
แต่ขอบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด เพื่อแลกกับใบปัดน้ำฝนคุณภาพดีอันใหม่ โดยหารู้ไม่ว่าการยกก้านใบปัดน้ำฝนมันดันส่งผลให้สปริงยกของมันเกิดอาการล้าเร็วขึ้น ทำให้แรงกดของใบปัดน้ำฝนกับกระจกหน้าลดลง

   สำหรับราคาของใบปัดน้ำฝนต่อการใช้งาน ถือว่าคุ้มค่ากับการมอบทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ การยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นนั้นจึงกลายเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากเกิดความเสียหายบริเวณสปริงยกก้านขึ้นมา ราคามันย่อมแพงกว่าที่จะซื้อเพียงแค่ยางปัดปัดน้ำฝนด้วยครับ


   ดังนั้นแล้ว ถ้าหากเห็นว่ายางปัดน้ำฝนเสื่อมคุณภาพแล้ว ควรจะรีบเปลี่ยนใหม่ อย่ายกก้านปัดน้ำฝนขึ้น ขอเน้นย้ำว่าให้เป็ของแท้จากศูนย์ที่ตรงตามยี่ห้อรถของคุณนะครับ  อย่ารอให้การมองเห็นไม่ชัดเจนมาทำให้เกิดอุบัติเหตุได้นะครับ

***หวังเป็นอย่างยิิ่งว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับรถยนต์ของคุณ และความปลอดภัยในขณะขับขี่ของตัวคุณเองนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------


แหล่งข้อมูล บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด



ตรวจแอร์ในรถยนต์

   สมัยนี้รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีระบบปรับอากาศที่ช่วยให้ภายในรถของคุณมีความเย็นชุ่มฉ่ำตลอดการเดินทาง แต่เมื่อถึงจุดๆนึง ระบบปรับอากาศนี้อาจทำให้คุณต้องเสียสุขภาพเพราะเนื่องจากเมื่อระบบปรับอากาศถูกใช้งานไปนานๆ ไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์ย่อมต้องมีการเสื่อมสภาพ


   การตรวจแอร์ในรถยนต์ควรตรวจที่ไส้กรองอากาศครับเพราะ
ไส้กรองอากาศแอร์ทำหน้าที่ กรองฝุ่นละออง เกสร และอนุภาคอื่นๆ ที่อยูภายนอก ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังทำหน้าคอยฟอกอากาศที่ไหลเวียนอยู่ในรถให้ดีได้อีกระดับหนึ่ง
  ไส้กรองอากาศที่เสื่อมคุณภาพแล้ว และไส้กรองอากาศแบบธรรมดาอาจก่อให้เกิดสิ่งที่ตามมาเหล่านี้คือ

1.แอร์ทำงานไม่ปกติ
2.อากาศที่ปล่อยออกมาไม่บริสุทธิ์พอ ซึ่งอาจทำให้จามอยู่บ่อยๆบางคนถึงขั้นเป็นหวัด และอาจทำให้เป็นภูมิแพ้ได้
3.อาจมีเสียงแปลกๆเกิดขึ้นในขณะเปิดการใช้งานของระบบปรับอากาศ


วิธีการดูแลรักษาแอร์ในรถยนต์ที่ถูกต้อง

1. ทุกครั้งก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรตรวจดูสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ว่าอยู่ใน ลักษณะใด เปิดหรือปิด ถ้าหากเปิดอยู่ให้กดปิดก่อน ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์นะครับ
เพื่อไม่ให้ คอมเพรสเซอร์ต้านทานการหมุนของเครื่องยนต์ในขณะสตาร์ท

2. เมื่อเครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดสวิตช์พัดลมของเครื่องปรับอากาศก่อน โดยปรับไปที่ตำแหน่ง ความเร็วสูงสุด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อนจากช่องปรับอากาศ
หลังจากนั้นจึงเปิดสวิตช์ ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ปรับสวิตช์ที่ใช้ปรับระดับความเย็นไปที่ตำแหน่งเย็นสุด แล้วจึง ปรับสวิตช์ควบคุมความเร็วของพัดลม
และสวิตช์ควบคุมระดับความเย็นลงสู่ตำแหน่งที่สัมพันธ์กับพัดลม และปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารตามต้องการ

3. เมื่อเลิกใช้งานก่อนที่จะดับเครื่องยนต์ ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ก่อนเพื่อหยุดการทำ งานของคอมเพรสเซอร์ แต่ยังคงเปิดสวิตช์พัดลมแอร์ไว้ในตำแหน่งที่แรงสุดเพื่อให้พัดลมแอร์เป่าลม
ผ่านตัวคอยล์เย็น หรือที่รู้จักกันดีว่า “ตู้แอร์” ซึ่งตัวคอยล์เย็นนี้จะมีสภาพที่เปียกชื้น และมีหยดน้ำมาเกาะอยู่ในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน และเพื่อเป็นการไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นให้เร็วขึ้น
วิธี นี้เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอับชื้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่น เหม็นอับ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุ การใช้งานของตัวคอยล์เย็นให้ผุกร่อนช้าลงกว่าเดิม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้นครับ

   สำหรับปัญหาการเกิดกลิ่นอับที่ออกมาจากช่องปรับอากาศสามารถแก้ไขได้โดย จอดรถในที่โล่งแจ้ง ที่แดดส่องได้อย่างทั่วถึง จากนั้นเปิดประตูรถให้หมดทุกบาน
จอดรถตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่น อับจะจางหายไป แต่ถ้ากลิ่นอับยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการใกล้บ้านได้เลยครับเพื่อดูต้นตอที่แท้จริงและขจัดกลิ่นอับที่ถูกต้อง แต่การจะลดปัญหาเรื่องกลิ่นต่างๆในรถยนต์ลงไปได้อีกวิธีนึงนั่นก็คือ พยายามอย่าเอาของกินจำพวกที่มีกลื่นแแรงเข้ามากินในรถเป็นประจำ เพราะกลิ่นเหล่านี้มันจะถูกสะสมไว้ในรถ เมื่อถึงเวลานั้นการจะกำจัดกลิ่นอับในรถจะทำได้ยากขึ้นครับ

  





   ไส้กรองอากาศของแท้ช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารดีขึ้นคือ
1.ช่วยกรองฝุ่นละออง และอนุภาคต่างๆ  อากาศภายในห้องโดยสารจึงสะอาด ปราศจากสิ่งไม่พึงประสงค์
2.ช่วยป้องกันและยืดอายุการใช้งานชิ้นส่วนต่างๆในระบบปรับอากาศ
3.ไส้กรองอากาศแอร์แท้ยังช่วยป้องกันการสะสมของอันตรายต่างๆที่ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆในระบบปรับอากาศเสื่อมสภาพ
   ส่วนอายุของไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์ จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตร ภายใต้การใช้งานที่ปกตินะครับ

    หัวใจของการตรวจแอร์ในรถยนต์ คือ ไส้กรองอากาศแอร์นั่นเองครับ เพราะไส้กรองอากาศแอร์จะทำหน้าที่คอยกรอง ฝุ่นละออง เกสร และอนุภาคอื่นที่อยู่ภายนอก ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโดยสารครับ เพราะฉะนั้นแล้วการตรวจแอร์ในรถยนต์จึงต้องให้คตวามสำคัญกับไส้กรองอากาศแอร์ให้มากๆนะครับ
เวลาที่นำรถเข้าศูนย์บริการ ก็ให้เจ้าหน้าช่วยดูไส้กรองอากาศแอร์ให้นะครับ ว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนหรือยัง ซึ่งโดยปกติตามคู่มือแล้ว ไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์จะมีอายุอยู่ที่  40,000 กิโลเมตร


***หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยดูแลอากาศในรถของท่านให้กลับมาสดชื่นเหมือนเพิ่งซื้อรถมาใหม่นะครับ  ขอบคุณครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลจาก โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย






แบตเตอรี่รถยนต์

คำแนะนำเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์


   โดยทั่วไปแล้วหลายๆท่านคิดว่าตราบใดที่ยังสตาร์ทรถติด ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ จึงนำมาซึ่งปัญหาหลายอย่าง เมื่อวันดีคืนดีรถเกิดสตาร์ทไม่ติด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ พ่วงแบตจากรถคนอื่น เป็นวิธีที่สุดฮิต แต่ถ้าไม่มีรถใครให้พ่วงหละ ก็คงต้องโทรเรียกให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนให้ ซึ่งเราก็จะต้องเสียค่าวิ่งให้ช่างอีก แทนที่จะเสียแค่ค่าแบตอย่างเดียว ถ้าเป็นวันหยุดก็คงไม่เครียดอะไรมาก แต่ถ้าเป็นวันที่ต้องขับรถไปทำงานกลายเป็นว่าต้องไปทำงานสายเลยก็มี หรือแม้แต่ในกรณีอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหันมาใส่ใจกับแบตเตอรี่รถยนต์ขึ้นมาอีกนิด เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

   โดยทั้วไปแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ จะทำงานเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา เพราะแบตเตอรี่กำลังทำงานในขณะที่
1.เปิดไฟหน้ารถ
2.เปิดเครื่องปรับอากาศ
3.สตาร์ทรถยนต์
4.ฟังวิทยุหรือซีดี หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ

   ชนิดของแบตเตอรี่ในรถยนต์

แบตเตอรี่ที่มีขายกันในท้องตลาดที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปพอจะแยกได้เป็น ๒ ชนิดคือ 

๑. แบตเตอรี่แห้งคือแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องน้ำกลั่นนั่นแหละครับ หลายๆคนยังเข้าใจว่าแบตเตอรี่แห้งคือมันแห้งจริงๆ แต่ความจริงแล้วแบตแห้งที่นำมาใช้กับรถยนต์ยังคงมีประเภทที่มีของเหลวอยู่ภายในไม่ว่าจะเป็นแบบตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยมและตะกั่วในแผ่นเซลล์หรือพวกที่ใช้สารละลายอัลคาไลน์หรือที่รู้จักกันในชื่อนิเกิล-แคทเมี่ยมนั่นเอง แต่ที่นิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากคือแบบตะกั่ว-กรดเพราะมีราคาถูกกว่า 

-ข้อดีคือไม่ต้องเติมน้ำกลั่น-สะดวกต่อการใช้งาน-การปล่อยทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่นานกว่าแบตธรรมดา-ปริมาณแก๊สที่เกิดขึ้นจากปฎิกริยาทางเคมีภายในมีน้อย 

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือราคาแพงกว่าแบตธรรมดา-เป็นระบบปิดที่มีรูหายใจแบบทางเดินทางเดียวขนาดเล็กถ้ามีการอุดตันอาจจะเกิดปัญหาด้านแรงดันภายในหรือความร้อนโดยเฉพาะระบบประจุที่รุนแรงเนื่องจากเกิดปัญหาในระบบการประจุ-แบตเตอรี่แบบที่ปิดผนึกแบบไม่ใช้อีเล็กโตรไลท์ถ้าซิลของช่องหายใจเกิดหลุดจะเกิดการเสียหายเนื่องจากมีความชื้นเข้าไป 

๒. แบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น โครงสร้างมันก็เหมือนกับแบตแห้งนั่นแหละเพียงแต่มันใช้อีเล็กโตรไลท์หรือกรดซังฟุริคเจือจางด้วยน้ำกลั่นบรรจุอยู่เพราะจะว่ากันตามจริงแล้วแบตเตอรี่แบบแห้งและแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นมันก็ต่างกันแค่วัสดุที่ใช้ทำแผ่นธาตุเท่านั้นเอง 

-ข้อดีคือราคาถูก-ทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ 

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือการรั่วหกของสารละลายจากภายในที่มีส่วนผสมของกรดสามารถทำลายสีของรถได้-ต้องคอยดูแลการประจุและการเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอไม่ว่าจากการระเหยหรือการรั่วหก 

   แบตเตอรี่รถยนต์จะเสื่อมลงตามเวลาซึ่งเกิดจากการชาร์จและจ่ายพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะความถี่ในการใช้งาน หรือระยะทางที่ขับ แต่ยังขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานรถและสภาพแวดล้อมขณะขับขี่

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำงานหนักขึ้น!!


  ขับรถอยู่ดีๆรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัดติดขึ้นมาทำไงดี 
     แม้ว่ารูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดนั้นไม่ได้หมายถึงแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงระบบการประจุหรือไดชาจน์ด้วย  แถมรถบางรุ่นยังพ่วงเรื่องการทำงานของอุปการณ์ไฟฟ้าทั้งระบบเข้ามาอีก แต่เมื่อได้ก็ตามที่บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วไฟรูปแบตเตอรี่ไม่ดับหรือกระพริบหรือขับรถอยู่ไฟมันติดหรือกระพริบขึ้นมาโอกาสที่สาเหตุจะเกิดกับตัวแบตเตอรี่นั้นมีมากกว่าตัวอื่น รองลงไปเป็นไดชาจน์ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหากอยู่ไกลจากศูนย์บริการจริงๆ ก็เข้าร้านไดนาโมทั่วๆไปโดยทันที  เพราะรถของท่านอาจจะไม่สามารถเครื่องยนต์ให้ติดได้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก่อนที่ช่างจะวิเคราะห์หรือทำการเปลี่ยนแบตให้ท่านก็ควรแน่ใจว่าแบตตัวนั้นผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างน้อย ๑ปี หรือ 20,000 กิโลเมตรไปแล้ว ถ้าอายุของแบตลูกนั้นเกิน ๒ ปีไปแล้วโอกาสความน่าเชื่อถือว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือเสียหรือเก็บไฟไม่อยู่ค่อยน่าเชื่อถือกันหน่อย ยิ่งถ้าเราเป็นคนดูแลแบตเตอรี่ที่ดีหลังจากอายุของแบตเกิน ๒ปีไปแล้วก็ควรคอยสังเกตุไฟรูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดอยู่เสมอด้วย 
สารยืดอายุแบตเตอรี่ 
      มีบ่อยๆที่มีการโฆษนาสารที่เติมเข้าไปในแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นว่าสามารถยืดอายุงานของแบตเตอรี่ได้อีกจากเดิม๒-๓ปีสามารถยืดออกไปอีกเป็นปีหรือมากกว่านั้น ลองย้อนถามตัวเองนิดนึงก่อนที่จะจ่ายเงินว่า ถ้ามันยืดอายุงานได้ขนาดนั้นจริงแล้วสมมุติคุณเป็นเจ้าของโรงงานแบตเตอรี่แต่เพิ่มต้นทุนอีกเล็กน้อยแล้วเพิ่มราคาแบตเตอรี่ออกใบรับประกันอายุงานแบตเตอรี่ให้ด้วย คิดดูเองว่าแบตยี่ห้อนั้นจะโด่งดังแค่ไหน หรือลองถามคนขายดูซักนิดว่าสารที่ขายนั้นได้รับการรับรองจากสถาบันไหนในบ้านเราหรือเปล่า ถ้ามีการรับรองว่ายืดอายุงานได้จริงโดยสถาบันในบ้านเราที่ตรวจสอบได้ค่อยจ่ายเงินซื้อมาใช้ครับ 

เมื่อใด?? จะถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ 

      1.ใช้งานมานานกว่าปีครึ่งถึง 2 ปี 
      2. ไฟหน้าไม่สว่างเหมือนแต่ก่อน 

      3. กระจกไฟฟ้าเปิด-ปิด ช้าลงกว่าแต่ก่อน
      4.ในตอนเช้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก รอบของเครื่องไม่พอเพียง
      5.ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยครั้ง


อาการของแบตเตอรี่รถยนต์และแนวทางการป้องกัน 

         - ไฟอ่อนหรือไฟหมด (วัดถพ.น้ำกรดทุกช่องต่ำกว่า1.250 / วัดไฟ ไม่ถึง 12 โวลท์)ห้ามเปลี่ยนถ่ายน้ำกรด เปิดไฟทิ้งไว้นาน อัดไฟ ด้วยกระแส 5-10 แอมป์ จนเกิดฟองก๊าซ อย่างเพียงพอ (วัด ถพ.น้ำกรดได้ 1.250 ทุกช่อง / วัดไฟ เต็ม 12 โวลท์)
         - ตรวจดู และ ปิดสวิทช์ไฟ ทุกครั้งหลังดับเครื่อง 
         - ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่นาน ติดเครื่องยนต์อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง 
         - ไฟรั่วลงดิน ตรวจระบบไฟฟ้า และสายไฟ ตรวจระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ ทุกๆ 6 เดือน 
         - ไดนาโม ไดชาร์ทรถยนต์ชำรุด หรือไม่ทำงาน ซ่อมไดนาโม ไดชาร์ทรถ ยนต์ พร้อมกับอัดไฟ แบตเตอรี่ 
         - ขั้วต่อแบตเตอรี่ไม่แน่น หรือชำรุด ถอด ทำความสะอาด ด้วยน้ำร้อน ทาวา สลีน หรือเปลี่ยนขั้วใหม่ ดูแลแบตเตอรี่ ให้สะอาดเสมอ 
         - กำลังไฟแบตเตอรี่ ไม่พอเพียง อัดไฟ ด้วยกระแส 5-10 แอมป์ จนเกิด ฟองอากาศ อย่างเพียงพอ ลดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้า ในรถยนต์ลง หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ ที่มีกำลังไฟมากขึ้น ตามกำลังเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ ติดตั้ง 
         - อัดไฟไม่เต็ม อัดไฟใหม่ ตรวจดูฟองก๊าซในระหว่างอัดไฟ (ถพ. 1.250, วัดไฟ 12 โวลท์) แบตเตอรี่เสื่อม เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่



ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ที่มีกำลังมากขึ้น (สำหรับทำหน้าที่หลายอย่าง) 

         
1. เมื่อมีการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าส่องสว่างและติดเครื่องเสียงเพิ่มขึ้น 
         2. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆๆ 
         3. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ 
         4. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน 
         5. ใช้เครื่องมือสื่อสาร 
         6. ใช้รถน้อย (จอดรถไว้เป็นเวลาหลายวัน) หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด


  ถ้ารถของคุณกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อรับการตรวจสภาพ และเลือกใช้แบตเตอรี่แท้จากทางศูนย์บริการตามยี่ห้อรถของท่าน เพื่อจะมั่นใจได้ว่า  ได้แบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับรถของคุณ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาอีกในภายหลัง















 ***หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลนี้จะมีสว่นช่วยในการดูแลรถยนต์ของท่านเป็นอย่างดี ขอบคุณครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด




เบรกในรถยนต์


ความปลอดภัยเกี่ยวกับเบรกในรถยนต์

  รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีเบรก และเบรกย่อมต้องมีผ้าเบรกและน้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบ เพื่อที่เวลาเหยียบเบรก ระบเบรกจะส่งแรงกดที่เกิดจากการเหยียบคันเบรกไปที่ล้อ โดยผ้าเบรกจะเข้าไปเสียดกับแผ่นจานเบรก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกให้เบรกได้ระยะทางที่สั้นขึ้น และไม่มีเสียงขณะเบรก และเมื่อใช้ไปนานๆ ผ้าเบรกในรถยนต์ย่อมมีวันหมดและน้ำมันเบรกย่อมมีวันเสื่อมสภาพ  เวลาเหยียบเบรกทีนี้ก็จะมีเสียงตามมา

เบรกในรถยนต์ปัจจุบันนี้นิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภท
     1.ดรัมเบรก เป็นระบบเบรกรุ่นเก่าที่ยังมีใช้อยู่ในรถเก๋งบางรุ่น ในส่วนของดรัมเบรกจะมีลักษณะเป็นแผ่นเบรกสองแผ่นดันบริเวณกระทะเบรกเพิ่ม ความเสียดทาน เพื่อช่วยในการหยุดรถ หรือชะลอรถ การใช้ดรัมเบรกจะใช้ครบทั้ง 4 ล้อในตอนแรก และล้อมั้ง 4 ล้อในวงจรเบรกจะทำงานอย่างสัมพันธ์กัน
      2. ดิสก์เบรก เป็นระบบเบรกที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน อาจจะเป็นระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ หรือเบรก 2 ล้อหน้าเป็นดิสก์เบรก 2 ล้อหลังเป็นดรัมเบรก ระบบ การทำงานของดิสก์เบรกจะแยกทำงานกันคนละส่วนเป็นอิสระต่อกัน ระบบนี้เป็นระบบในรถรุ่นใหม่ รถรุ่นเก่ายังคงเป็นระบบที่ทำงานร่วมกัน

การใช้ผ้าเบรกแบบธรรมดาหรือผ้าเบรกที่เสื่อมสภาพอาจเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้
1.มีเสียง เอี้ยด ขณะเบรก
2.เบรกมีอาการแปลกๆ ไม่เหมือนอย่างตอนที่เหยียบเบรก
3.เหยียบเบรกแล้วรถไม่หยุด หรือหยุดช้าขึ้นกว่าเดิม (อันนี้อันตรายมากครับ)
ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการดีที่สุดครับ เพื่อความปลอดภัย

   ที่สำคัญ อย่าลืมเช็คน้ำมันเบรกด้วยนะครับ เพราะน้ำมันเบรกก็สำคัญพอๆกับผ้าเบรกเหมือนกันเพราะเมื่อเราใช้รถไปแล้วน้ำมันเบรกจะค่อยๆเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกด้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าเบรก ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกควบคู่ไปด้วย และการที่จะทำให้เบรกมีประสิทธิภาพนั้นก็คือ น้ำมันเบรกเป็นส่วนสำคัญนับจากชิ้นส่วนอื่นๆที่ใช้ร่วมกัน ในระบบเบรกระดับของน้ำมันเบรกจะมีส่วนคล้าย กับระบบของน้ำมันเครื่อง คือต้องพยายามคอยดูแลไม่ให้ลดลงกว่าระดับมาตรฐานที่วางไว้ ต้องคอยเช็กอยู่เสมอนะครับ

  การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกในรถยนต์และเติมน้ำมันเบรกให้ดูทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้งจึงต้องหมั่นดูแล
      ข้อควรระวัง น้ำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้นเมื่อทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถรีบเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้เพราะจะทำให้สีถลอก ได้ และห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถอย่างเด็ดขาด
       น้ำมันเบรกในรถยนต์ควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติ เมื่อรถยนต์วิ่งได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเช็กทุก 10,000 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่าย น้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่
   น้ำมันเบรกนี้จะมีขายอยู่ตามปั้มน้ำมันทั่วไป คุณภาพในแต่ละยีห้อนั้นใกล้ เคียงกัน อยู่ที่ว่าต้องการยี่ห้อไหนหรืออาจใช้ตามมาตรฐานของคู่มือรถที่ให้มา ก็ได้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด          การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรกในรถยนต์
          น้ำมันเบรกในรถยนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญอันหนึ่งในการเบรก ฉะนั้นจึงควรตรวจ สอบให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไป จนหมดหรือ เหลือน้อยการเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
          ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก
          1. เปิดฝากระโปรงรถยนต์
          2. ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณชิดกับตัวถังรถในส่วนที่ติดกับกระจก ให้เช็กระดับของ น้ำมันเบรกในถ้วยว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าระดับน้ำมันเบรกอยู่ MAX ไม่ต้องเติม  น้ำมันเบรกอยู่ในระดับ MIN ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึงเส้น MAX
          ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ MAX เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง ซึ่งน้ำ มันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้
          3. ก่อนเปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด-เปิด ให้สะอาดเพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆตกลงไป ซึ่งอาจทำใหระบบเบรกเสียหายได้
          4. เติมน้ำมันเบรกลงไปในถ้วยตามระดับในข้อที่ 2
          5. ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืมก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย
          มีรถยนต์รุ่นเก่าบางรุ่น ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณหัวเก๋งด้านคนขับก็ใช้วิธีการเติม แบบเดียวกันได้เลยครับ
ขั้นตอนตรงนี้หากไม่อยากด้วยจัวเองก็แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการดีกว่าครับ เพื่อความมั่นใจและความสบายใจ 


เปลี่ยนผ้าเบรกและน้ำมันเบรกจากศูนย์บริการดีกว่าเปลี่ยนจากตามร้านทั่วไปอย่างไร

1.ความปลอดภัย ผ้าเบรกอะไหล่แท้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย ในสภาพแวดล้อมการขับขี่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขับลงเนิน ขับบนพื้นหิมะ เพื่อให้แน่ใจว่า เบรกมีความปลอดภัยสูงสุดขณะขับรถ
2.ได้เรื่องของความมั่นใจ เพราะผ้าเบรกอะไหล่แท้ ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์ในแต่ละรุ่น จึงมั่นใจได้ว่าเบรกสามารถทำงานได้เต็มสมรรถนะ
3.ความสบายใจ การใช้ผ้าเบรกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะนั้น จะช่วยลดปัญหาเสียงรบกวนขณะเบรก นำมาซึ่งความสบายใจในการขับขี่

ถึงแม้ว่าราคาในศูนย์จะมีราคาที่แพงกว่าตามร้านทั่วไป แต่เพื่อความปลอดภัยที่ดีกว่า มันย่อมคุ้มค่ากว่าแน่นอนครับ


------------------------------------------------------------------------------------------------------


แหล่งข้อมูล คู่มือและเทคนิคการใช้รถยนต์









เครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้

    การทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาโดยตลอดเป็น  สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Toyota ก้าวขึ้นมาเป็นค่ายรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ก็คือการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และพัฒนาได้ตรงจุดความต้องการของคนใช้รถในปัจจุบันซึ่งจะเน้นไปทางด้านการประหยัดน้ำมัน ที่สำคัญทางโตโยต้ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะเห็นได้จาก ระบบคอมมอลเรล ต่อยอดเป็นระบบเทอร์โบแปรผัน จนล่าสุดพัฒนาสู่ระบบไดมอนด์ เทค (Diamond Tech) ใน โตโยต้าวีโก้แชมป์ รุ่นล่าสุดของทางโตโยต้า ที่กำลังจำหน่ายอยู่ในขณะนี้    ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านที่กำลังมองหารถกะบะที่ประหยัดน้ำมันไว้ใช้งาน บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ การทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้กันอย่างละเอียดลึกซึ้งเลยครับ

 เริ่มต้นด้วยการทำงานของระบบ คอมมอนเรล
ลองมาดูความหมายและคำแปลก่อนนะครับ COMMON = ร่วม และ RAIL = ราง รวมแล้วแปลว่า ระบบรางร่วม คือระบบจ่ายน้ำมันแบบรางร่วมเป็นระบบการจ่ายน้ำมันดีเซล แบบรางร่วมที่นิยมใช้มากในเครื่องยนต์ดีเซลปัจจุบัน ที่สามารถสร้างแรงบิดและแรงม้าได้สูง
ในระบบคอมมอลเรลจะมีอุปกรณ์หลักๆคือ


ปั้มคอมมอนเรล
1. ปั๊มแรงดันสูง สามารถสร้างแรงดันได้ 1,600-1,800bar ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต แรงดันที่สูงนี้ทำให้น้ำมันแตกตัวเป็นละอองได้ดีกว่าการใช้หัวฉีดแบบเก่ามาก หรือที่เรียกว่า Fuel Atomisation
2. หัวฉีด จะทำหน้าที่จ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้ ให้น้ำมันเป็นฝอยละเอียดที่เล็กมากๆ ทำให้น้ำมันสามารถคลุกเคล้ากับอากาศได้ดี เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
3. รางร่วม มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆยาวๆ ที่มีความหนามากเพื่อทนแรงดันที่สูง รางร่วมนี้จะรักษาความดันให้คงที่ และมีเซ็นเซอร์แรงดันติดอยู่ เพื่อส่งข้อมูลกลับไปกล่อง ECU บอกสภาวะของแรงดันที่รอบเครื่องต่างๆกัน
4. ชุดควบคุมอิเล็คทรอนิค(ECU)และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ 
    ในระบบคอมมอนเรล จะใช้ปั๊มแรงดันสูงทำหน้าที่สร้างแรงดันน้ำมันสูง อัดน้ำมันเข้าสู่รางร่วม (Common rail) เพื่อรักษาแรงดันในระบบให้ทุกสูบเท่ากัน รอจังหวะการฉีดที่เหมาะสม ที่คำนวณจากหน่วยควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Control Unit;ECU) โดยECUจะรับค่าจากเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่นเซ็นเซอร์ตำแหน่งขาคันเร่ง ความเร็วรอบเครื่องยนต์ อุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิอากาศ แรงดันเทอร์โบเป็นต้น นำมาคำนวณหาปริมาณการฉีดที่เหมาะสมและจังหวะการฉีดที่ถูกต้อง ส่งสัญญาณไปยังหัวฉีด ซึ่งหัวฉีดถูกควบคุมการจ่ายน้ำมันด้วยโซลีนอยด์ไฟฟ้าให้หัวฉีด เปิดน้ำมันเข้ากระบอกสูบตามจังหวะและปริมาณตรงตามความต้องการของเครื่องยนต์ เนื่องจากECUเป็นตัวควบคุมการจ่ายน้ำมัน ซึ่งสามารถทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ ในปัจจุบันระบบคอมมอนเรลจึงสามารถสั่งการฉีดน้ำมันได้ถึง 5 ครั้งต่อการทำงาน 1วัฐจักร (จากเดิมฉีดน้ำมัน 1 ครั้ง ต่อการทำงาน 1 วัฐจักร) เป็นการลดปริมาณมลพิษ ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และเขม่ำควันดำต่างๆ เพื่อให้ได้ตามกฏข้อบังคับก๊าซไอเสีย ซึ่งประเทศไทยใช้มาตราฐานของยุโรป(EURO) อีกทั้งยังเป็นการลดการเผาไหม้ที่รุนแรง ช่วยลดเสียงน็อคของเครื่องยนต์ โดยการฉีดของหัวฉีดแต่ละครั้งคือ
การฉีดครั้งที่ 1 เป็นฉีดนำร่อง เป็นส่วนช่วยให้เชื้อเพลิงส่วนแรกผสมกับอากาศได้ดีเสียก่อน
การฉีดครั้งที่ 2 เพื่อความเข้มข้นของเชื้อเพลิงในการเริมการเผาไหม้ส่วนแรก
การฉีดครั้งที่ 3เป็นการฉีดเชื้อเพลิงหลัก (Main-Injection) เป็นการฉีดที่ควบคุมสภาวะการทำงานของเครื่องยนต์ตามคันเร่ง
การฉีดครั้งที่4 เป็นการฉีดหลัง เพื่อเผาเขม่าหรืออนุภาคคาร์บอน (Particulate matter;PM) ส่วนสุดท้ายเพื่อให้มีการเผาไหม้สมบูรณ์ที่สุด
การฉีดครั้งที่5 เป็นการฉีดปิดท้ายเพื่อควบคุมอุณหภูมิไอเสีย

   ลองมาทำความรู้จักกับไดมอนด์ เทค (Diamond Tech) ที่ถูกเรียกว่าหัวฉีดอัฉริยะดูนะครับ
  เป็นเทคโนโลยีด้านการประหยัดน้ำมัน ตัวล่าสุดของโตโยต้าทีถูกนำมาใส่ไว้ในเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้ โดยจะติดตั้งอยู่เฉพาะในรถยนต์ โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ และ ฟอร์จูนเนอร์ ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้นครับ
ส่วนประกอบของระบบ ไดมอนด์ เทค (Diamond Tech)
1.ระบบหัวฉีดอัจฉริยะ G3S ภายในเคลือบสารพิเศษ Diamond Liked Carbon Coating โดยเครื่องยนต์ 1KD และ 2KD VN จะมีหัวฉีดจำนวน 8 รู ส่วนเครื่องยนต์ 2KD และ 2KD I/C จะมีหัวฉีดจำนวน 6รู
2.ระบบควบคุมอัจฉริยะด้วยคอมพิวเตอร์ ECU 32 บิท
3.ระบบขับแรงดันสูง 180 Mpa
4.ระบบ เทอร์แปรผัน vn turbo

    หลักการทำงานของระบบ Diamond Tech จะเป็นไปตามหลักที่ว่า ฉีดเท่าที่ใช้ จ่ายเท่าที่จำเป็น โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบหัวฉีดน้ำมันที่มีความแม่นยำสูง คำนวนปริมาณการจ่ายน้ำมันและส่งคำสั่งให้ให้หัวฉีดเพิ่มหรือลดปริมาณการจ่ายน้ำมันไปตามรอบความเร็วของเครื่องยนต์ แยกกันไปในแต่ละกระบอกสูบ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และตอบสนองต่อการขับขี่ของผู้ใช้แต่ละคนอย่างตรงจุด นอกจากนี้หัวฉีดที่เคลือบสารพิเศษ Diamond Liked Carbon Coating ขึ้นมา ทำให้จ่ายน้ำมันได้ลื่นขึ้น ฉีดน้ำมันออกเป็นฝอยละอองที่มีความละเอียดมาก ซึ่งทำให้การเผาไหม้ของน้ำมันทำได้อย่างหมดจด นอกจากนี้จากการเคลือบสารพิเศษยังช่วยลดการเกาะของคราบเขม่าที่เกิดจากการเผาใหม้ของน้ำมันบริเวณช่องจ่ายน้ำมันทำให้ปัญหาการอุดตันหัวฉีดลดลงไปด้วย และทำให้หัวฉีดทนทานขึ้นกว่าเดิมอีกด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีการเสริมพลังด้วยระบบเทอร์โบแปรผัน VN Turbo ที่มี่การควบคุมการเปิดปิดแรงดันอากาศและปรับองศาที่เหมาะตามความเร็วรอบของเครื่องยนต์อีกด้วยครับ

  ข้อดีของระบบ ไดมอนด์ เทค (Diamond Tech)
1.ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น จากการเผาไหม้อย่างหมดจดของน้ำมัน
2.เครื่องยนต์มีความทนทานมากขึ้น
3.เครื่องยนต์เดินเรียบและเงียบขึ้นกว่าเดิม
4.หัวฉีดทนทาน ทำให้ค่าบำรุงรักษาต่ำ และไม่ต้องคอยเปลี่ยนหัวฉีดบ่อยๆ
5.ตอบสนองต่อการขับขี่ของผู้ใช้แต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น
  ส่วนประกอบการทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้อีกส่วนนึงที่มาควบคู่กันนั่นก็คือ vn turbo
vn turbo คืออะไร
   VN turbo มีหลายคนที่ยังสงสัยและยังไม่เข้าใจว่า vn turbo คืออะไร? vn turbo ก็เป็นส่วนหนึง่ของ การทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้ ที่ช่วยเพิ่มความแรง และความประหยัดน้ำมัน

  VN turbo ย่อมาจาก Variable Nozzle Turbo หรือ เทอร์โบแปรผันครีบ  คือ รอบๆ ใบพัดของโข่งไอเสีย จะมีครีบ บังคับทิศทางของไอเสีย ให้มีองศาการปะทะ ของไอเสีย กับใบเทอร์โบ ในมุมที่เหมาะสม เพื่อให้เทอร์โบสามารถทำลมเข้าเครื่องได้สูง และแรงดันเยอะ ทำให้รถมีกำลังมากขึ้น ซึ่งครีบปรับองศาของเทอร์โบนั้น ควบคุมการเปิดปิด ผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าที่สั่งงานโดยกล่องอีเล็คโทรนิค ECU 32bit หรือที่เราเรียกว่ากล่องควบคุมนั่นแหละครับ เพื่อให้การทำงานของเทอร์โบสัมพันธ์กับทุกๆความเร็วรอบของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะที่รอบเครื่องยนต์ต่ำนั้น การทำงานของเทอร์โบแปรผันจะปรับองศาของครีบให้แคบลงเพื่อรีดไอเสียที่มีปริมาณน้อยให้ไหลเร็วขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่จะได้แต่ความแรง แต่ยังได้ความประหยัดอีกด้วย เพราะเมื่อรถคุณมีกำลังตั้งแต่รอบต่ำ เวลาออกตัว ก็ไม่ต้องเร่งมาก เวลาเร่งแซง ก็สามารถทำได้สะดวก
    ด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและตรงจุดของการทำงานของเครื่องยนต์ไฮลักซ์วีโก้ ที่ไม่เพียงตอบสนองด้านความแรงอย่างเดียว แต่ยังตอบโจทย์ในเรื่องการประหยัดน้ำมันอีกด้วย จึงไม่แปลกเลยครับ ที่เราจะเห็นยอดขายรถยนต์ของโตโยต้าวีโก้อยู่ในอันดับต้นๆ ของยอดขายรถกระบะในบ้านเรามานานหลายปีติดต่อกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ที่กำลังจะซื้อรถกระบะไว้ใช้งานนะครับ



การทำงานของกุญแจImmobilizer

            

Immobilizer








 Immobilizer เป็นระบบป้องกันการโขมยชนิดหนึ่ง ซึ่งกุญแจที่ใช้สตาร์ทถ้าไม่ใช่ดอกของมันรถจะไม่สามารถสจาร์ทติดได้โดยเด็ดขาด ถึงจะไปปั๊มกุญแจมาให้เหมือนขนาดไหนก็ตาม หรือว่าจะต่อสายตรง เครื่องก็ยังคงไม่ติดอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่มีระบบไหนที่สามารถป้องกันการขโมยได้ 100% เป็นเพียงแค่การถ่วงเวลาให้ทำการขโมยได้ยากขึ้น.
กุญแจที่มีระบบ Immobilizer จะฝังไมโครชิพไว้ในลูกกุญแจ ทำให้ลูกกุญแจมีขนาดใหญ่กว่าปกติ



หรือใหญ่กว่าลูกกุญแจที่ไม่มีระับบ Immobilizer ซึงไมโครชิพจะส่งสัญญาณผ่านสนามแม่เหล็กให้กับ immo โดยผ่าน coil เป็นตัวถอดรหัสให้ immo อีกทีหนึ่ง coil ตัวนี้จะอยู่ที่คอพวงมาลัย ตำแหน่งเดียวกันกับที่เสียบลูกกุญแจ



  ส่วนประกอบของระบบ Immobilzer มี 3 ส่วนดังนี้

1.กล่อง ECU คือกล่งอควบคุม ทำหน้าที่รับข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆเพื่อนำมาประมวลผล และใช้ในการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลืง และการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ และยังควบคุมระบบต่างๆอีกมากมาย
2.ระบบ Immobilizer
3.กุญแจ  



การทำงานของกุญแจImmobilizer
   เวลาที่เราเสียบกุญแจเข้าไปนั้น ทุกอย่างจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกว่าเราจะบิดสวิตต์ไปที่ตำแหน่ง ON หรือ ACC และหลังจากนั้น immo จะเริ่มถามกุญแจว่ามีรหัสตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตอบสนองอะไรเลย immo ก็จะไม่ให้ ECU ที่เป็นกล่องควบคุม ทำการสตาร์ทเครื่องติดโดยเด็ดขาด
ในกรณีที่กุญแจตอบกลับมาแล้ว immo รู้จักกุญแจลูกนั้น, immo ก็จะส่งคำถามไปอีกชุดหนึ่ง เพื่อให้กุญแจเอาไปคิดแล้วค่อยตอบกลับมา โดยคำถามที่ส่งไป จะเป็นตัวเลขที่เกิดจากการ random จำนวน xx ไบต์ บวกกับ รหัสลับ ซึ่งจะมีเพียงกุญแจ และ Immo เท่านั้นที่รู้ รถจึงจะสตาร์ทติด




ถ้าเป็นรถยนต์ของโตโยต้าจะมีกุญแจ Immobilizer เกือบทุกรุ่น

ถึงแม้ว่าเราจะมีกุญแจที่มีระบบ Immobilizer ก็ตาม
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีระบบไหนที่สามารถป้องกันการขโมยได้ 100% เป็นเพียงแค่การถ่วงเวลาให้ทำการขโมยได้ยากขึ้นครับ.