น้ำยาหล่อเย็น

    ขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน น้ำยาหล่อเย็นย่อมเกิดความร้อน น้ำยาหล่อเย็นที่ไหลเวียนอยู่ในเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ระบายความร้อน และป้องกันชิ้นส่วนที่เป็นโลหะของระบบหล่อเย็นอย่างหม้อน้ำไม่ให้เป็นสนิม ซึ่งน้ำยาหล่อเย็นนี้มีทั้งของแท้ที่มาจากศูนย์บริการ และของทั่วๆไปตามห้างร้านต่างๆ ก็จะมีทั้งของแท้และของเทียมปะปนกันไป แน่นอนว่าทั้งของแท้และของเทียมย่อมมีประสิทธิการทำงานที่ต่างกันอย่างแน่นอน บทความนี้จะพาทุกท่านมาศึกษาเกี่ยวกับน้ำยาหล่อเย็นเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติกับรถยนต์ได้ถูกวิธีครับ

น้ำยาหล่อเย็นอยู่ในปริมาณที่เต็ม
   คุณสมบัติของน้ำยาหล่อเย็นคือ ป้องกันการเเข็งตัวยังช่วยป้องกันไม่ใหห้น้ำในระบบหล่อเย็นกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อถึงหน้าหนาว และเมื่อผ่านการใช้งานไปซักระยะน้ำยาหล่อเย็นจะเสื่อมสภาพปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่นที่เกิดขึ้น ปริมาณสารยับยั้งการเกิดสนิมที่ลดลง ทำให้ประสิทธิภาพป้องกันการกัดกร่่อนและเกิดสนิมด้อยลง เพราะหม้อน้ำของรถยนต์โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ นิยมทำจากอลูมีเนียม ซึ่งสามารถเกิดตะกรันและเกิดการกัดกร่อนได้ง่าย สังเกตได้จากการลองถอดท่อยางที่ต่อจากหม้อพักน้ำดูก็ได้ครับ จะพบว่ามีคราบและร่องรอยของการเกิดตะกรัน ในบางคันอาจถูกกัดกร่อนจนผุแหว่ง ซึ่งจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันของหม้อน้ำและทางเดินน้ำ อันจะนำไปสู่ปัญหาของการระบายความร้อน ทำให้เกิดการ โอเวอร์ฮีท ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นตามระยะเวลาที่เหมาะสม

อายุในการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นจะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 2 ปี


หน้าที่หลักๆของน้ำยาหล่อเย็นคือ
   1.ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ (เมืองนอกที่อากาศติดลบทั้งหลาย)
   2.เพิ่มจุดเดือนน้ำ คือชลอการละเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเวลาเครื่องยนต์ร้อนจัด (ข้อนี้สำหรับเมืองร้อนด้วย)
เพราะเวลาน้ำเดือดน้ำจะระเหยกลายเป็นไอ ลองต้มน้ำในหม้อดูสิครับ น้ำเปล่าเริ่มระเหยเป็นไอที่ 100C ํ
ถ้าผสมน้ำยาก็จะระเหยที่ 105 / 110  / 115 องศาเซลเซียส ....ตามสัดส่วนการผสม...
   3.ป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน พอมีสนิมก็ผุ กร่อน.มีตะกอน.(ลดความเสี่ยงในการอุดตันในหลอดน้ำที่รังผึ้งหม้อน้ำ)
   4.หล่อลื่นปั๊มน้ำและซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ (อันนี้เกี่ยวเนี่องจากข้อ3 เพราะไม่มีตะกรัน ตะกอน)

น้ำยาหล่อเย็น AUTOKOOL เป็นน้ำยาหล่อเย็นแบบผสมสำเร็จรูป ซึ่งมีอัตราความเข้มข้นในอัตราส่วน 50:50 จึงมีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนสูง
เหมาะกับสภาพอากาศและสภาพการจราจรในเมืองไทย ที่เครื่องยนต์มีการทำงานอยู่ในอุณหภูมิที่สูงอยู่ตลอดเวลา และต้องการการระบายความร้อนเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพ


ถ้าหากรถของท่านมีมีน้ำยาหล่อเย็นเป็นลักษณะนี้ต้องรีบทำการเปลี่ยนด่วนเลยครับ ถือว่าอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก แต่ถ้ายังอยู่ในระหว่างขีด FULL กับขีด LOW ก็ถือเป็นเรื่องปกตินะครับ


ของแท้จะมีลักษณะเป็นสีชมพู
   น้ำยาที่เป็นของแท้จะมีสีชมพู แต่ถ้าหากว่าใช้ไปนานๆแล้ว สีของน้ำยาหล่อเย็นจะค่อยๆคล้ำเป็นสีชมพูปนดำ


   การเติมหรือการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยมีปริมาณน้ำที่ผสมเกินสัดส่วน หรือใช้น้ำธรรมดาแทนน้ำกลั่นจะมีผลต่อประสิทธิภาพการระบายความร้อน ทำให้เครื่องยนต์ระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควรร ผลที่ตามมาคือ เครื่องยนต์เป็นสนิม และน้ำเกิดการแข็งตัว  น้ำยาหล่อเย็นที่ไม่ได้มาตรฐานนอกจากจะมีประสิทธิภาพระบายความร้อนและปกป้องเครื่องได้ไม่ดีเท่ากับน้ำยาหล่อเย็นของแท้แล้ว ผู้ใช้ยังต้องคอยเติมหรือเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นอยู่บ่อยๆ เพราะการที่ใช้น้ำยาหล่อเย็นของที่แท้ที่ได้มาจากศูนย์บริการนั้น ทำให้ไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นอยู่บ่อยๆ และประหยัดค่าดูแลรักษาในระยะยาวไปได้เยอะเลยครับ

เช็คที่ปัดน้ำฝน

วิธีการตรวจเช็คที่ปัดน้ำฝน
  
   รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีที่ปัดน้ำฝนเพื่อที่เวลาฝนตก เราก็จะมีที่ปัดน้ำฝนคอยปัดกระจกหน้ารถให้เราสามารถมองเห็นเส้นทางขณะขับขี่ได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าขอบยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ การปัดน้ำฝนย่อมทำให้ปัดน้ำฝนได้ไม่เต็มที่ คือ ปัดแล้วน้ำออกไม่หมดในแต่ละครั้ง ปัดแล้วยังมีทางน้ำติดอยู่ที่กระจกเป็นเหตุให้มองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน อาจนำมาซึ่งอุบัติเหตุได้ ดังนั้นเราจะมีวิธีเช็คที่ปัดน้ำฝนของเราอย่างไรว่าที่ปัดน้ำฝนของรถยนต์ของเราเสื่อมหรือยัง

 ใบปัดน้ำฝนประกอบด้วยก้านปัดที่เป็นโลหะมีขอบยางติดอยู่ หน้าที่คือ ใช้ปัดน้ำ ปัดฝุ่น หรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนกระจกหน้าเพื่อวิสัยทัศที่ดีในการขับรถขณะฝนตก

               วิธีเช็คที่ปัดน้ำฝน
1.เวลาที่ที่ปัดน้ำฝนกำลังทำงาน จะทิ้งรอยครูดบนกระจก
2.ปัดน้ำฝนแล้วน้ำฝนออกไม่หมด ยังทิ้งคราบน้ำเกาะบนกระจกอยู่

  อายุการใช้งานของขอบยางปัดน้ำฝนจะมีอายุประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีนะครับ

และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผ่านการใช้งาน แต่ยางปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา เนื่องจากการโดนแสงแดด และก้านใบปัดยังจะเป็นสนิม และโค้งงอผิดรูป ดังนั้นจึงควรเปลียนใบปัดน้ำฝนเป็นระยะเพื่อการใช้งานที่เหมาะสม

มีข้อดีที่สำคัญในการเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนคือ
1.ความปลอดภัยขณะขับรถ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝนตก ถึงตกหนัก ถ้าหากเราเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนที่มีคุณภาพ ย่อมเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถ
2.ลดเสียงดังรบกวนจากการเสียดสีเมื่อเปิดใบปัดทำงาน นำมาซึ่งความสบายใจเมื่อขับรถขณะฝนตก



ข้อแนะนำที่อยากฝากไว้คือ แนะนำให้เข้าศูนย์บริการตามยี่ห้อรถที่คุณขับ เพื่อจะได้ใบปัดน้ำฝนของแท้ที่ได้มาตรฐาน และเหมาะกับรุ่นรถของคุณเพราะการใช้ของเทียมอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างเช่น

1.มองเห็นทางไม่ชัด
2.มีเสียงดังขณะปัดน้ำฝน
3.กระจกเป็นรอย
สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่งความผิดหวัง ทำให้ต้องเสียเงินซื้อใหม่


สิ่งที่ไม่สมควรทำกับที่ปัดน้ำฝน
  อากาศที่ร้อนๆแบบนี้ เป็นสาเหตุใหญ่ๆ ของการเสื่อมสภาพยางปัดน้ำฝน ความร้อนที่สะสมบนบานกระจกหน้า ทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนที่ต้องสัมผัสโดยตรงย่อมมีอาการเสื่อมเป็นเรื่องธรรมดา และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้คนคิดว่าดการยกใบปัดน้ำฝนขึ้นซะ จะทำให้ยางปัดน้ำฝนไม่ต้องไปกระทบกับความร้อนบนกระจกหน้า!!
เป็นวิธีที่ไม่สมควรทำ
แต่ขอบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิด เพื่อแลกกับใบปัดน้ำฝนคุณภาพดีอันใหม่ โดยหารู้ไม่ว่าการยกก้านใบปัดน้ำฝนมันดันส่งผลให้สปริงยกของมันเกิดอาการล้าเร็วขึ้น ทำให้แรงกดของใบปัดน้ำฝนกับกระจกหน้าลดลง

   สำหรับราคาของใบปัดน้ำฝนต่อการใช้งาน ถือว่าคุ้มค่ากับการมอบทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ การยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นนั้นจึงกลายเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย เพราะหากเกิดความเสียหายบริเวณสปริงยกก้านขึ้นมา ราคามันย่อมแพงกว่าที่จะซื้อเพียงแค่ยางปัดปัดน้ำฝนด้วยครับ


   ดังนั้นแล้ว ถ้าหากเห็นว่ายางปัดน้ำฝนเสื่อมคุณภาพแล้ว ควรจะรีบเปลี่ยนใหม่ อย่ายกก้านปัดน้ำฝนขึ้น ขอเน้นย้ำว่าให้เป็ของแท้จากศูนย์ที่ตรงตามยี่ห้อรถของคุณนะครับ  อย่ารอให้การมองเห็นไม่ชัดเจนมาทำให้เกิดอุบัติเหตุได้นะครับ

***หวังเป็นอย่างยิิ่งว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับรถยนต์ของคุณ และความปลอดภัยในขณะขับขี่ของตัวคุณเองนะครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------


แหล่งข้อมูล บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด



ตรวจแอร์ในรถยนต์

   สมัยนี้รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีระบบปรับอากาศที่ช่วยให้ภายในรถของคุณมีความเย็นชุ่มฉ่ำตลอดการเดินทาง แต่เมื่อถึงจุดๆนึง ระบบปรับอากาศนี้อาจทำให้คุณต้องเสียสุขภาพเพราะเนื่องจากเมื่อระบบปรับอากาศถูกใช้งานไปนานๆ ไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์ย่อมต้องมีการเสื่อมสภาพ


   การตรวจแอร์ในรถยนต์ควรตรวจที่ไส้กรองอากาศครับเพราะ
ไส้กรองอากาศแอร์ทำหน้าที่ กรองฝุ่นละออง เกสร และอนุภาคอื่นๆ ที่อยูภายนอก ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโดยสาร นอกจากนี้ยังทำหน้าคอยฟอกอากาศที่ไหลเวียนอยู่ในรถให้ดีได้อีกระดับหนึ่ง
  ไส้กรองอากาศที่เสื่อมคุณภาพแล้ว และไส้กรองอากาศแบบธรรมดาอาจก่อให้เกิดสิ่งที่ตามมาเหล่านี้คือ

1.แอร์ทำงานไม่ปกติ
2.อากาศที่ปล่อยออกมาไม่บริสุทธิ์พอ ซึ่งอาจทำให้จามอยู่บ่อยๆบางคนถึงขั้นเป็นหวัด และอาจทำให้เป็นภูมิแพ้ได้
3.อาจมีเสียงแปลกๆเกิดขึ้นในขณะเปิดการใช้งานของระบบปรับอากาศ


วิธีการดูแลรักษาแอร์ในรถยนต์ที่ถูกต้อง

1. ทุกครั้งก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรตรวจดูสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ว่าอยู่ใน ลักษณะใด เปิดหรือปิด ถ้าหากเปิดอยู่ให้กดปิดก่อน ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์นะครับ
เพื่อไม่ให้ คอมเพรสเซอร์ต้านทานการหมุนของเครื่องยนต์ในขณะสตาร์ท

2. เมื่อเครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดสวิตช์พัดลมของเครื่องปรับอากาศก่อน โดยปรับไปที่ตำแหน่ง ความเร็วสูงสุด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อนจากช่องปรับอากาศ
หลังจากนั้นจึงเปิดสวิตช์ ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ปรับสวิตช์ที่ใช้ปรับระดับความเย็นไปที่ตำแหน่งเย็นสุด แล้วจึง ปรับสวิตช์ควบคุมความเร็วของพัดลม
และสวิตช์ควบคุมระดับความเย็นลงสู่ตำแหน่งที่สัมพันธ์กับพัดลม และปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารตามต้องการ

3. เมื่อเลิกใช้งานก่อนที่จะดับเครื่องยนต์ ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ก่อนเพื่อหยุดการทำ งานของคอมเพรสเซอร์ แต่ยังคงเปิดสวิตช์พัดลมแอร์ไว้ในตำแหน่งที่แรงสุดเพื่อให้พัดลมแอร์เป่าลม
ผ่านตัวคอยล์เย็น หรือที่รู้จักกันดีว่า “ตู้แอร์” ซึ่งตัวคอยล์เย็นนี้จะมีสภาพที่เปียกชื้น และมีหยดน้ำมาเกาะอยู่ในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน และเพื่อเป็นการไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นให้เร็วขึ้น
วิธี นี้เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอับชื้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่น เหม็นอับ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุ การใช้งานของตัวคอยล์เย็นให้ผุกร่อนช้าลงกว่าเดิม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้นครับ

   สำหรับปัญหาการเกิดกลิ่นอับที่ออกมาจากช่องปรับอากาศสามารถแก้ไขได้โดย จอดรถในที่โล่งแจ้ง ที่แดดส่องได้อย่างทั่วถึง จากนั้นเปิดประตูรถให้หมดทุกบาน
จอดรถตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่น อับจะจางหายไป แต่ถ้ากลิ่นอับยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการใกล้บ้านได้เลยครับเพื่อดูต้นตอที่แท้จริงและขจัดกลิ่นอับที่ถูกต้อง แต่การจะลดปัญหาเรื่องกลิ่นต่างๆในรถยนต์ลงไปได้อีกวิธีนึงนั่นก็คือ พยายามอย่าเอาของกินจำพวกที่มีกลื่นแแรงเข้ามากินในรถเป็นประจำ เพราะกลิ่นเหล่านี้มันจะถูกสะสมไว้ในรถ เมื่อถึงเวลานั้นการจะกำจัดกลิ่นอับในรถจะทำได้ยากขึ้นครับ

  





   ไส้กรองอากาศของแท้ช่วยให้บรรยากาศในห้องโดยสารดีขึ้นคือ
1.ช่วยกรองฝุ่นละออง และอนุภาคต่างๆ  อากาศภายในห้องโดยสารจึงสะอาด ปราศจากสิ่งไม่พึงประสงค์
2.ช่วยป้องกันและยืดอายุการใช้งานชิ้นส่วนต่างๆในระบบปรับอากาศ
3.ไส้กรองอากาศแอร์แท้ยังช่วยป้องกันการสะสมของอันตรายต่างๆที่ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆในระบบปรับอากาศเสื่อมสภาพ
   ส่วนอายุของไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์ จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตร ภายใต้การใช้งานที่ปกตินะครับ

    หัวใจของการตรวจแอร์ในรถยนต์ คือ ไส้กรองอากาศแอร์นั่นเองครับ เพราะไส้กรองอากาศแอร์จะทำหน้าที่คอยกรอง ฝุ่นละออง เกสร และอนุภาคอื่นที่อยู่ภายนอก ก่อนที่จะเข้ามาในห้องโดยสารครับ เพราะฉะนั้นแล้วการตรวจแอร์ในรถยนต์จึงต้องให้คตวามสำคัญกับไส้กรองอากาศแอร์ให้มากๆนะครับ
เวลาที่นำรถเข้าศูนย์บริการ ก็ให้เจ้าหน้าช่วยดูไส้กรองอากาศแอร์ให้นะครับ ว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนหรือยัง ซึ่งโดยปกติตามคู่มือแล้ว ไส้กรองอากาศแอร์ในรถยนต์จะมีอายุอยู่ที่  40,000 กิโลเมตร


***หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยดูแลอากาศในรถของท่านให้กลับมาสดชื่นเหมือนเพิ่งซื้อรถมาใหม่นะครับ  ขอบคุณครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ข้อมูลจาก โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย






แบตเตอรี่รถยนต์

คำแนะนำเกี่ยวกับแบตเตอรี่รถยนต์


   โดยทั่วไปแล้วหลายๆท่านคิดว่าตราบใดที่ยังสตาร์ทรถติด ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ จึงนำมาซึ่งปัญหาหลายอย่าง เมื่อวันดีคืนดีรถเกิดสตาร์ทไม่ติด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ พ่วงแบตจากรถคนอื่น เป็นวิธีที่สุดฮิต แต่ถ้าไม่มีรถใครให้พ่วงหละ ก็คงต้องโทรเรียกให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนให้ ซึ่งเราก็จะต้องเสียค่าวิ่งให้ช่างอีก แทนที่จะเสียแค่ค่าแบตอย่างเดียว ถ้าเป็นวันหยุดก็คงไม่เครียดอะไรมาก แต่ถ้าเป็นวันที่ต้องขับรถไปทำงานกลายเป็นว่าต้องไปทำงานสายเลยก็มี หรือแม้แต่ในกรณีอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหันมาใส่ใจกับแบตเตอรี่รถยนต์ขึ้นมาอีกนิด เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

   โดยทั้วไปแล้วแบตเตอรี่รถยนต์ จะทำงานเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา เพราะแบตเตอรี่กำลังทำงานในขณะที่
1.เปิดไฟหน้ารถ
2.เปิดเครื่องปรับอากาศ
3.สตาร์ทรถยนต์
4.ฟังวิทยุหรือซีดี หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ

   ชนิดของแบตเตอรี่ในรถยนต์

แบตเตอรี่ที่มีขายกันในท้องตลาดที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปพอจะแยกได้เป็น ๒ ชนิดคือ 

๑. แบตเตอรี่แห้งคือแบตเตอรี่ที่ไม่ต้องน้ำกลั่นนั่นแหละครับ หลายๆคนยังเข้าใจว่าแบตเตอรี่แห้งคือมันแห้งจริงๆ แต่ความจริงแล้วแบตแห้งที่นำมาใช้กับรถยนต์ยังคงมีประเภทที่มีของเหลวอยู่ภายในไม่ว่าจะเป็นแบบตะกั่ว-กรดที่ใช้แคดเมี่ยมและตะกั่วในแผ่นเซลล์หรือพวกที่ใช้สารละลายอัลคาไลน์หรือที่รู้จักกันในชื่อนิเกิล-แคทเมี่ยมนั่นเอง แต่ที่นิยมและใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากคือแบบตะกั่ว-กรดเพราะมีราคาถูกกว่า 

-ข้อดีคือไม่ต้องเติมน้ำกลั่น-สะดวกต่อการใช้งาน-การปล่อยทิ้งไว้ในสภาพไม่มีไฟประจุสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่นานกว่าแบตธรรมดา-ปริมาณแก๊สที่เกิดขึ้นจากปฎิกริยาทางเคมีภายในมีน้อย 

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือราคาแพงกว่าแบตธรรมดา-เป็นระบบปิดที่มีรูหายใจแบบทางเดินทางเดียวขนาดเล็กถ้ามีการอุดตันอาจจะเกิดปัญหาด้านแรงดันภายในหรือความร้อนโดยเฉพาะระบบประจุที่รุนแรงเนื่องจากเกิดปัญหาในระบบการประจุ-แบตเตอรี่แบบที่ปิดผนึกแบบไม่ใช้อีเล็กโตรไลท์ถ้าซิลของช่องหายใจเกิดหลุดจะเกิดการเสียหายเนื่องจากมีความชื้นเข้าไป 

๒. แบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น โครงสร้างมันก็เหมือนกับแบตแห้งนั่นแหละเพียงแต่มันใช้อีเล็กโตรไลท์หรือกรดซังฟุริคเจือจางด้วยน้ำกลั่นบรรจุอยู่เพราะจะว่ากันตามจริงแล้วแบตเตอรี่แบบแห้งและแบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นมันก็ต่างกันแค่วัสดุที่ใช้ทำแผ่นธาตุเท่านั้นเอง 

-ข้อดีคือราคาถูก-ทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ 

-ข้อที่ไม่ค่อยดีนักคือการรั่วหกของสารละลายจากภายในที่มีส่วนผสมของกรดสามารถทำลายสีของรถได้-ต้องคอยดูแลการประจุและการเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอไม่ว่าจากการระเหยหรือการรั่วหก 

   แบตเตอรี่รถยนต์จะเสื่อมลงตามเวลาซึ่งเกิดจากการชาร์จและจ่ายพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะความถี่ในการใช้งาน หรือระยะทางที่ขับ แต่ยังขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานรถและสภาพแวดล้อมขณะขับขี่

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ทำงานหนักขึ้น!!


  ขับรถอยู่ดีๆรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัดติดขึ้นมาทำไงดี 
     แม้ว่ารูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดนั้นไม่ได้หมายถึงแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงระบบการประจุหรือไดชาจน์ด้วย  แถมรถบางรุ่นยังพ่วงเรื่องการทำงานของอุปการณ์ไฟฟ้าทั้งระบบเข้ามาอีก แต่เมื่อได้ก็ตามที่บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วไฟรูปแบตเตอรี่ไม่ดับหรือกระพริบหรือขับรถอยู่ไฟมันติดหรือกระพริบขึ้นมาโอกาสที่สาเหตุจะเกิดกับตัวแบตเตอรี่นั้นมีมากกว่าตัวอื่น รองลงไปเป็นไดชาจน์ ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ควรนำรถเข้าตรวจเช็คที่ศูนย์บริการหากอยู่ไกลจากศูนย์บริการจริงๆ ก็เข้าร้านไดนาโมทั่วๆไปโดยทันที  เพราะรถของท่านอาจจะไม่สามารถเครื่องยนต์ให้ติดได้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่ก่อนที่ช่างจะวิเคราะห์หรือทำการเปลี่ยนแบตให้ท่านก็ควรแน่ใจว่าแบตตัวนั้นผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างน้อย ๑ปี หรือ 20,000 กิโลเมตรไปแล้ว ถ้าอายุของแบตลูกนั้นเกิน ๒ ปีไปแล้วโอกาสความน่าเชื่อถือว่าแบตเตอรี่เสื่อมหรือเสียหรือเก็บไฟไม่อยู่ค่อยน่าเชื่อถือกันหน่อย ยิ่งถ้าเราเป็นคนดูแลแบตเตอรี่ที่ดีหลังจากอายุของแบตเกิน ๒ปีไปแล้วก็ควรคอยสังเกตุไฟรูปแบตเตอรี่บนหน้าปัดอยู่เสมอด้วย 
สารยืดอายุแบตเตอรี่ 
      มีบ่อยๆที่มีการโฆษนาสารที่เติมเข้าไปในแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่นว่าสามารถยืดอายุงานของแบตเตอรี่ได้อีกจากเดิม๒-๓ปีสามารถยืดออกไปอีกเป็นปีหรือมากกว่านั้น ลองย้อนถามตัวเองนิดนึงก่อนที่จะจ่ายเงินว่า ถ้ามันยืดอายุงานได้ขนาดนั้นจริงแล้วสมมุติคุณเป็นเจ้าของโรงงานแบตเตอรี่แต่เพิ่มต้นทุนอีกเล็กน้อยแล้วเพิ่มราคาแบตเตอรี่ออกใบรับประกันอายุงานแบตเตอรี่ให้ด้วย คิดดูเองว่าแบตยี่ห้อนั้นจะโด่งดังแค่ไหน หรือลองถามคนขายดูซักนิดว่าสารที่ขายนั้นได้รับการรับรองจากสถาบันไหนในบ้านเราหรือเปล่า ถ้ามีการรับรองว่ายืดอายุงานได้จริงโดยสถาบันในบ้านเราที่ตรวจสอบได้ค่อยจ่ายเงินซื้อมาใช้ครับ 

เมื่อใด?? จะถึงเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ 

      1.ใช้งานมานานกว่าปีครึ่งถึง 2 ปี 
      2. ไฟหน้าไม่สว่างเหมือนแต่ก่อน 

      3. กระจกไฟฟ้าเปิด-ปิด ช้าลงกว่าแต่ก่อน
      4.ในตอนเช้าเครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก รอบของเครื่องไม่พอเพียง
      5.ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยครั้ง


อาการของแบตเตอรี่รถยนต์และแนวทางการป้องกัน 

         - ไฟอ่อนหรือไฟหมด (วัดถพ.น้ำกรดทุกช่องต่ำกว่า1.250 / วัดไฟ ไม่ถึง 12 โวลท์)ห้ามเปลี่ยนถ่ายน้ำกรด เปิดไฟทิ้งไว้นาน อัดไฟ ด้วยกระแส 5-10 แอมป์ จนเกิดฟองก๊าซ อย่างเพียงพอ (วัด ถพ.น้ำกรดได้ 1.250 ทุกช่อง / วัดไฟ เต็ม 12 โวลท์)
         - ตรวจดู และ ปิดสวิทช์ไฟ ทุกครั้งหลังดับเครื่อง 
         - ไม่ได้ใช้แบตเตอรี่นาน ติดเครื่องยนต์อย่างน้อย อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง 
         - ไฟรั่วลงดิน ตรวจระบบไฟฟ้า และสายไฟ ตรวจระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ ทุกๆ 6 เดือน 
         - ไดนาโม ไดชาร์ทรถยนต์ชำรุด หรือไม่ทำงาน ซ่อมไดนาโม ไดชาร์ทรถ ยนต์ พร้อมกับอัดไฟ แบตเตอรี่ 
         - ขั้วต่อแบตเตอรี่ไม่แน่น หรือชำรุด ถอด ทำความสะอาด ด้วยน้ำร้อน ทาวา สลีน หรือเปลี่ยนขั้วใหม่ ดูแลแบตเตอรี่ ให้สะอาดเสมอ 
         - กำลังไฟแบตเตอรี่ ไม่พอเพียง อัดไฟ ด้วยกระแส 5-10 แอมป์ จนเกิด ฟองอากาศ อย่างเพียงพอ ลดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้า ในรถยนต์ลง หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ ที่มีกำลังไฟมากขึ้น ตามกำลังเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ ติดตั้ง 
         - อัดไฟไม่เต็ม อัดไฟใหม่ ตรวจดูฟองก๊าซในระหว่างอัดไฟ (ถพ. 1.250, วัดไฟ 12 โวลท์) แบตเตอรี่เสื่อม เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่



ถ้าเป็นไปได้ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ที่มีกำลังมากขึ้น (สำหรับทำหน้าที่หลายอย่าง) 

         
1. เมื่อมีการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าส่องสว่างและติดเครื่องเสียงเพิ่มขึ้น 
         2. ใช้รถเฉพาะกลางคืนและเปิดไฟส่องสว่างเป็นเวลานานๆๆ 
         3. เปิดแอร์เป็นเวลานานๆ 
         4. ใช้รถทั้งกลางวัน-กลางคืน 
         5. ใช้เครื่องมือสื่อสาร 
         6. ใช้รถน้อย (จอดรถไว้เป็นเวลาหลายวัน) หรือใช้รถเฉพาะวันหยุด


  ถ้ารถของคุณกำลังมีอาการเหล่านี้อยู่ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อรับการตรวจสภาพ และเลือกใช้แบตเตอรี่แท้จากทางศูนย์บริการตามยี่ห้อรถของท่าน เพื่อจะมั่นใจได้ว่า  ได้แบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับรถของคุณ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาอีกในภายหลัง















 ***หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลนี้จะมีสว่นช่วยในการดูแลรถยนต์ของท่านเป็นอย่างดี ขอบคุณครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------

แหล่งข้อมูล บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด




เบรกในรถยนต์


ความปลอดภัยเกี่ยวกับเบรกในรถยนต์

  รถยนต์ทุกคันย่อมต้องมีเบรก และเบรกย่อมต้องมีผ้าเบรกและน้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบ เพื่อที่เวลาเหยียบเบรก ระบเบรกจะส่งแรงกดที่เกิดจากการเหยียบคันเบรกไปที่ล้อ โดยผ้าเบรกจะเข้าไปเสียดกับแผ่นจานเบรก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกให้เบรกได้ระยะทางที่สั้นขึ้น และไม่มีเสียงขณะเบรก และเมื่อใช้ไปนานๆ ผ้าเบรกในรถยนต์ย่อมมีวันหมดและน้ำมันเบรกย่อมมีวันเสื่อมสภาพ  เวลาเหยียบเบรกทีนี้ก็จะมีเสียงตามมา

เบรกในรถยนต์ปัจจุบันนี้นิยมใช้กันอยู่ 2 ประเภท
     1.ดรัมเบรก เป็นระบบเบรกรุ่นเก่าที่ยังมีใช้อยู่ในรถเก๋งบางรุ่น ในส่วนของดรัมเบรกจะมีลักษณะเป็นแผ่นเบรกสองแผ่นดันบริเวณกระทะเบรกเพิ่ม ความเสียดทาน เพื่อช่วยในการหยุดรถ หรือชะลอรถ การใช้ดรัมเบรกจะใช้ครบทั้ง 4 ล้อในตอนแรก และล้อมั้ง 4 ล้อในวงจรเบรกจะทำงานอย่างสัมพันธ์กัน
      2. ดิสก์เบรก เป็นระบบเบรกที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน อาจจะเป็นระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ หรือเบรก 2 ล้อหน้าเป็นดิสก์เบรก 2 ล้อหลังเป็นดรัมเบรก ระบบ การทำงานของดิสก์เบรกจะแยกทำงานกันคนละส่วนเป็นอิสระต่อกัน ระบบนี้เป็นระบบในรถรุ่นใหม่ รถรุ่นเก่ายังคงเป็นระบบที่ทำงานร่วมกัน

การใช้ผ้าเบรกแบบธรรมดาหรือผ้าเบรกที่เสื่อมสภาพอาจเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้
1.มีเสียง เอี้ยด ขณะเบรก
2.เบรกมีอาการแปลกๆ ไม่เหมือนอย่างตอนที่เหยียบเบรก
3.เหยียบเบรกแล้วรถไม่หยุด หรือหยุดช้าขึ้นกว่าเดิม (อันนี้อันตรายมากครับ)
ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการดีที่สุดครับ เพื่อความปลอดภัย

   ที่สำคัญ อย่าลืมเช็คน้ำมันเบรกด้วยนะครับ เพราะน้ำมันเบรกก็สำคัญพอๆกับผ้าเบรกเหมือนกันเพราะเมื่อเราใช้รถไปแล้วน้ำมันเบรกจะค่อยๆเสื่อมสภาพ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกด้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าเบรก ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกควบคู่ไปด้วย และการที่จะทำให้เบรกมีประสิทธิภาพนั้นก็คือ น้ำมันเบรกเป็นส่วนสำคัญนับจากชิ้นส่วนอื่นๆที่ใช้ร่วมกัน ในระบบเบรกระดับของน้ำมันเบรกจะมีส่วนคล้าย กับระบบของน้ำมันเครื่อง คือต้องพยายามคอยดูแลไม่ให้ลดลงกว่าระดับมาตรฐานที่วางไว้ ต้องคอยเช็กอยู่เสมอนะครับ

  การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกในรถยนต์และเติมน้ำมันเบรกให้ดูทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้งจึงต้องหมั่นดูแล
      ข้อควรระวัง น้ำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้นเมื่อทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถรีบเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้เพราะจะทำให้สีถลอก ได้ และห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถอย่างเด็ดขาด
       น้ำมันเบรกในรถยนต์ควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติ เมื่อรถยนต์วิ่งได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเช็กทุก 10,000 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่าย น้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่
   น้ำมันเบรกนี้จะมีขายอยู่ตามปั้มน้ำมันทั่วไป คุณภาพในแต่ละยีห้อนั้นใกล้ เคียงกัน อยู่ที่ว่าต้องการยี่ห้อไหนหรืออาจใช้ตามมาตรฐานของคู่มือรถที่ให้มา ก็ได้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด          การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรกในรถยนต์
          น้ำมันเบรกในรถยนต์เป็นส่วนประกอบสำคัญอันหนึ่งในการเบรก ฉะนั้นจึงควรตรวจ สอบให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไป จนหมดหรือ เหลือน้อยการเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
          ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก
          1. เปิดฝากระโปรงรถยนต์
          2. ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณชิดกับตัวถังรถในส่วนที่ติดกับกระจก ให้เช็กระดับของ น้ำมันเบรกในถ้วยว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าระดับน้ำมันเบรกอยู่ MAX ไม่ต้องเติม  น้ำมันเบรกอยู่ในระดับ MIN ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึงเส้น MAX
          ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ MAX เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง ซึ่งน้ำ มันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้
          3. ก่อนเปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด-เปิด ให้สะอาดเพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆตกลงไป ซึ่งอาจทำใหระบบเบรกเสียหายได้
          4. เติมน้ำมันเบรกลงไปในถ้วยตามระดับในข้อที่ 2
          5. ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืมก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย
          มีรถยนต์รุ่นเก่าบางรุ่น ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณหัวเก๋งด้านคนขับก็ใช้วิธีการเติม แบบเดียวกันได้เลยครับ
ขั้นตอนตรงนี้หากไม่อยากด้วยจัวเองก็แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการดีกว่าครับ เพื่อความมั่นใจและความสบายใจ 


เปลี่ยนผ้าเบรกและน้ำมันเบรกจากศูนย์บริการดีกว่าเปลี่ยนจากตามร้านทั่วไปอย่างไร

1.ความปลอดภัย ผ้าเบรกอะไหล่แท้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย ในสภาพแวดล้อมการขับขี่ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขับลงเนิน ขับบนพื้นหิมะ เพื่อให้แน่ใจว่า เบรกมีความปลอดภัยสูงสุดขณะขับรถ
2.ได้เรื่องของความมั่นใจ เพราะผ้าเบรกอะไหล่แท้ ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรถยนต์ในแต่ละรุ่น จึงมั่นใจได้ว่าเบรกสามารถทำงานได้เต็มสมรรถนะ
3.ความสบายใจ การใช้ผ้าเบรกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะนั้น จะช่วยลดปัญหาเสียงรบกวนขณะเบรก นำมาซึ่งความสบายใจในการขับขี่

ถึงแม้ว่าราคาในศูนย์จะมีราคาที่แพงกว่าตามร้านทั่วไป แต่เพื่อความปลอดภัยที่ดีกว่า มันย่อมคุ้มค่ากว่าแน่นอนครับ


------------------------------------------------------------------------------------------------------


แหล่งข้อมูล คู่มือและเทคนิคการใช้รถยนต์